กลุ่ม JMART จ่อรุกโลจิสติกส์-โบรกเกอร์ประกัน งัดกลยุทธ์สร้าง Synergy จากสินทรัพย์ทั้งเครือ หวังผลักดันการเติบโตของกำไรและลดต้นทุน คาดธุรกิจใหม่ชัดเจนครึ่งปีหลัง
อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART และคณะผู้บริหารบริษัทในเครือ ซึ่งประกอบด้วย บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT, บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J และ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย หรือ SINGER ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจหลักปี 2564 จะเน้นการสร้างผลประโยชน์ร่วมหรือ Synergy โดยแชร์สินทรัพย์เดิมในเครือ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดต้นทุน ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างวางรากฐานธุรกิจใหม่ 2 ประเภท คือ ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจนายหน้าประกันและการเงิน โดยปีนี้ กลุ่ม JMART จัดสรรงบลงทุนไว้ 1.46 หมื่นล้านบาท
อดิศักดิ์กล่าวว่า JMART ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Investment Holding Company (IHC) มั่นใจว่า ปี 2564 ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มจะสามารถทำกำไร All Time High อีกครั้ง
เป้าหมายปี 2564 กำไรเจ มาร์ทจะเติบโต 50% ซึ่งยังไม่รวมธุรกิจใหม่ที่กลุ่มบริษัทจะต่อยอดการเติบโตในช่วงต่อจากนี้ และการปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อสร้าง Business Model ให้เป็นลักษณะ J-Curve ภายหลังจากการปิดดีลร่วมทุนใหญ่กับพันธมิตรระดับโลก เช่น เคบี คุกมินการ์ด บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตเบอร์ต้นจากเกาหลีใต้ และ TIS Inc. จากญี่ปุ่น ติดปีกทั้งทางด้านเงินทุนและเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลก
ในปีนี้ กลุ่มเจ มาร์ทจะขยายสู่ธุรกิจใหม่ 2 ประเภท ประเภทแรกคือ แผนการเข้าลงทุนขยายกิจการด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเจ มาร์ททั้งหมดภายในประเทศ โดยอาศัยข้อได้เปรียบในการแข่งขันคือจำนวนสาขาของบริษัทในเครือที่กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น หน้าร้านของเจ มาร์ท กว่า 200 สาขา, สาขาของซิงเกอร์ที่คาดจะมีกว่า 7,000 สาขาภายในปีนี้ รวมถึงสาขาของ IT Junction และ JMT
ในการลงทุนเพื่อเริ่มต้นธุรกิจนี้ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ตเนอร์ที่สามารถ Plug In ระบบเข้ากับสินทรัพย์ที่เจ มาร์ทมาได้ทันที ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนของธุรกิจ และเริ่มดำเนินการในไตรมาส 3/64
ประเภทที่สองคือ ธุรกิจนายหน้าประกันภัยและการเงิน (Centralized Insurance and Finance Broker) จากจุดแข็งของกลุ่มเจ มาร์ท ที่มีฐานข้อมูลลูกค้าในระบบราว 6.7 ล้านคน
และกลุ่มเจ มาร์ทมีธุรกิจประกันภัย ได้แก่ บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเสริมแกร่งด้วยเทคโนโลยีจาก บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด และ TIS Inc. ผลักดันให้กลุ่มเจ มาร์ทรุก InsurTech คาดว่าจะเห็นภาพชัดภายในไตรมาส 4/64
“การวางแพลตฟอร์มเรื่องโลจิสติกส์ นายหน้าประกันภัย และสินเชื่อ เป็นสิ่งที่เจ มาร์ทจะเติมเต็มศักยภาพของกลุ่มบริษัทที่มีทั้งในธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือ, ซิม AIS, สินเชื่อส่วนบุคคล, เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการอื่นๆ ของกลุ่มเจ มาร์ท จะเข้าไปใกล้กับผู้บริโภคมากขึ้น ในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล หรือในระดับหมู่บ้าน
เพื่อรองรับการปฏิวัติของเทคโนโลยี (Disruption) ของธุรกิจค้าปลีกและการเงิน และยุคของ Social Distancing ซึ่งจะเชื่อมโยงจากระบบ Online to Offline อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงผู้บริโภค และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด” อดิศักดิ์กล่าว
โดยระยะยาว กลุ่มเจ มาร์ทมีแผนผลักดันธุรกิจใหม่ทั้ง 2 ประเภท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใน 2-3 ปีหลังจากเริ่มดำเนินการและเริ่มสร้างกำไร
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 ยังคงมีธุรกิจด้านการเงินเป็นบริษัทที่สร้างฐานกำไร นำโดย บมจ.เจ เอ็ม ที (JMT) ที่คาดว่าจะสามารถบันทึกสถิติสูงสุดใหม่ได้ จากการที่ JMT สามารถบริหารหนี้และจับเก็บหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถตัดต้นทุนกองหนี้ได้เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสร้างฐานกำไรให้แข็งแกร่ง
โดยคาดว่าปีนี้จะมีกองหนี้ที่ตัดมูลค่าเงินลงทุนแล้วอีกประมาณ 6,000-10,000 ล้านบาท จากปี 2563 มีกองหนี้ที่ตัดต้นทุนจำนวน 43,000 ล้านบาท จากพอร์ตบริหารหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 207,051 ล้านบาท
จึงคาดว่า JMT กำไรปีนี้จะเติบโตได้ก้าวกระโดด หรือเติบโตอย่างน้อย 30% ส่งผลดีต่อ JMART เนื่องจากถือหุ้น JMT สัดส่วน 52.8%
สำหรับ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) รุกปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมากขึ้น โดยคาดว่าพอร์ตสินเชื่อจะแตะที่ระดับ 10,000 ล้านบาทได้ในปลายปี 2564 นี้
และ บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) จะมีโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ ‘JAS GREEN VILLAGE-KUBON’ เปิดตัวในไตรมาส 4/64 พร้อมรุกธุรกิจด้าน Senior Living
และการขยายธุรกิจเพื่อเชื่อมโยง NPA Ecosystem ของ JMT ซึ่งเป็นโครงการ Synergy ร่วมกันของบริษัทในกลุ่ม ที่สามารถสร้างกระแสรายได้จากการอสังหาริมทรัพย์อีกมาก
ขณะที่บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (Jaymart Mobile) ซึ่งเป็นบริษัทแกน ปีนี้รับปัจจัยบวกจาก 5G การรุกช่องทางขายใหม่ๆ และการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทในกลุ่มทุกบริษัทที่เดินหน้าสร้างผลงาน และแผนการ Synergy ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งหากมีผลการดำเนินงานพร้อม จะผลักดันบริษัทในกลุ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มเติมในปีหน้าเป็นต้นไป
Recent Comments