การรีไฟแนนซ์รถยนต์ ( Refinance รถยนต์ ) คือการขอรับบริการสินเชื่อโดยใช้บางท่านเข้าใจว่ามันคือการ “ย้ายไฟแนนซ์” สมมติว่าคุณกู้ซื้อรถยนต์ในราคา 700,000 บาท โดยใช้บริการผ่อนกับธนาคารแรกผ่านไปแล้ว 500,000 บาท และต้องการปิดวงเงินอีก 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่เหลือ เพื่อให้การจ่ายค่างวดต่อเดือนลดลง ในส่วนนี้มักทำได้ด้วยการขอสินเชื่อวงเงินใหม่ โดยการขอรีไฟแนนซ์รถยนต์ที่ยังผ่อนไม่หมดนี้ ไม่ต้องจอดรถยนต์ไว้ที่แบงก์ มีทั้งรูปแบบที่ต้องต้องโอนหรือไม่ต้องโอนทะเบียนเล่ม ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ทำกับบริษัทสินเชื่อนั้น ๆ มีหลายรูปแบบ แต่ละแบบก็มีรายละเอียดแตกต่างกันไป และเพื่อให้การเข้าสู่ธุรกรรมนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด เรามาดูถึงกฎ กติกา มารยาทในเรื่องนี้แบบรู้ลึก รู้จริง และรู้รอบ กันเลยดีกว่า
การรีไฟแนนซ์รถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่สามารถช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ผ่อนหนักเป็นเบาลง โดยการนำเอารถยนต์มาเป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ เหมือนกับการออกรถป้ายแดงในตอนแรก เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนมีสภาพคล่อง
ตัวอย่างการ Refinance รถยนต์
เริ่มสนใจการรีไฟแนนซ์รถยนต์แล้วใช่ไหมล่ะ มาทำความเข้าใจการรีไฟแนนซ์รถให้มากยิ่งขึ้นกับตัวอย่างนี้
- นายหวังซื้อรถยนต์ราคา 700,000 บาท ดอกเบี้ย 4% ระยะเวลาผ่อนชำระ 7 ปี (หรือ 84 งวด) เขาวางเงินดาวน์จำนวน 200,000 บาท
- หมายความว่า นายหวังเหลือวงเงินที่ต้องผ่อนจ่ายค่ารถยนต์อยู่ 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย (500,000 x 4%) x 7 ปี = 140,000 บาท
คิดตามแบบคร่าว ๆ
- เงินทั้งหมดที่นายหวังต้องจ่ายให้กับผู้ให้กู้หรือธนาคาร คือ เงินผ่อนรถยนต์ 500,000 + ดอกเบี้ย 140,000 = 640,000 บาท
- เขาต้องผ่อนชำระทั้งหมด 84 งวด นายหวังต้องผ่อนจ่ายรถยนต์งวดละ 7,619 บาท
- ผ่านไป 2 ปี นายหวังจ่ายทุกเดือนเป็นประจำสม่ำเสมอ
เขาผ่อนชำระไปแล้วเป็นเงิน 182,856 (7,619 x 24 งวด)
เหลือวงเงินที่ต้องชำระธนาคารผู้ให้กู้อีก 640,000 – 182,856 = 457,144 บาท
- เมื่อนายหวังจึงได้ไปปรึกษากับธนาคารเพื่อขอรีไฟแนนซ์กู้เงินก้อนใหม่ปิดก้อนเก่า เมื่อธนาคารได้ประเมินแล้วว่า
รถของผู้เช่าซื้อหรือรถของนายหวังสามารถทำการรีไฟแนนซ์ได้ 600,000 บาท - สรุปว่า นายหวังจะเหลือเงินส่วนต่างจากการรีไฟแนนซ์รถอยู่ที่ 600,000 – 457,144 คิดเป็นเงิน 142,856 บาท แต่นายหวังอาจจะต้องผ่อนรถนานขึ้นตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร
การ Refinance รถยนต์ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ
1. กรณียังไม่มีเล่มทะเบียน คือ อยู่ระหว่างผ่อนชำระ แต่ต้องการรีไฟแนนซ์ จะสามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ
1) รีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิม
2) รีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่
2. กรณีมีเล่มทะเบียน เรียบร้อยแล้ว คือ ผ่อนชำระเสร็จสิ้นแล้ว สามารถทำได้ 2 ลักษณะเช่นกัน คือ
1) นำเล่มทะเบียนไปวางค้ำประกันไว้ แล้วขอกู้เงินโดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อในเล่มทะเบียน ( Mortgage ) เรียก จำนำทะเบียน
2) มีเล่มทะเบียนแล้ว ต้องการเงินกู้จากธนาคารโดยยอมเปลี่ยนชื่อในเล่มทะเบียน ก็คือ การทำไฟแนนซ์ใหม่ หรือ รีไฟแนนซ์ ( Refinance ) นั่นเอง
3. การดำเนินการยื่นเรื่อง Refinance รถยนต์ ทำได้ 2 แบบ คือ
1) การยื่นรีไฟแนนซ์ด้วยตัวเอง
2) การยื่นรีไฟแนนซ์ผ่านดีลเลอร์ของธนาคาร
ข้อดี – ข้อเสีย และความแตกต่างของการ Refinance รถยนต์ ตามลักษณะต่าง ๆ ทั้ง 3 ข้อ
1. กรณียังไม่มีเล่มทะเบียน
1.1 การ Refinance รถยนต์ กับธนาคารใหม่
ข้อดี
- อาจได้ยอดจัดหรือดอกเบี้ยถูกกว่าที่เดิม อันเนื่องมาจากการแข่งขันกันเองระหว่างธนาคาร การยื่นกู้อาจจะง่ายขึ้น อาจเนื่องจากที่ใหม่ ไม่ใช่ผู้ค้ำประกัน หรือมีเงื่อนไขดีกว่าที่เดิม
ข้อเสีย
- การย้ายธนาคาร คุณต้องจ่ายค่าโอนกรรมสิทธิ์ใหม่ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
1.2 การ Refinance รถยนต์ กับธนาคารเดิม
ข้อดี
- กรณีเรามีประวัติผ่อนชำระดี การ รีไฟแนนซ์ ที่เดิมอาจจะผ่านง่ายกว่าที่ใหม่
- การ รีไฟแนนซ์รถยนต์ กับที่เดิม ไม่ต้องเสียค่าโอนย้ายกรรมสิทธิ์ นั่นคือ ทำให้เราประหยัดเงินไปบางส่วน
ข้อเสีย
- หากต้องการใช้บริการกับที่เดิม บางครั้งอาจจะไม่ได้ยอดจัดสูงที่สุดและดอกเบี้ยที่ดีที่สุด
2. กรณีมีเล่มทะเบียนแล้ว ควรจะทำแบบโอนเล่ม ( รีไฟแนนซ์ ) หรือไม่โอนเล่ม ( จำนำทะเบียน ) ดี ?
- กรณีมีเล่มแล้ว การจำนำทะเบียน ( ไม่โอนเล่ม ) ก็ดีตรงที่ชื่อยังเป็นชื่อเรา แต่คุณก็ต้องนำเล่มไปให้ธนาคารเก็บไว้อยู่ดี
- กรณีไม่โอนเล่ม อัตราดอกเบี้ยต่อปี จะสูงกว่า กรณีโอนเล่ม เนื่องจากธนาคาร ถือว่าการโอนเล่ม ทำให้มีหลักประกันเงินกู้แตกต่างจากไม่โอนเล่ม ธนาคารไม่มีหลักประกันเงินกู้ เป็นลักษณะของสินเชื่อส่วนบุคคล ดังนั้นแบบไม่โอนเล่ม ถึงแม้โฆษณาจะบอกว่าประมาณ 6 % ต่อปี แต่เป็นการผ่อนชำระแบบลดต้นลดดอก ( Effective Rate – แบบผ่อนบ้าน ) ที่เป็นดอกเบี้ยผ่อนรถทั่วไป ที่อยู่ประมาณ 4 – 5 % ต่อไป
- ข้อดีของการจำนำทะเบียน ( แบบไม่โอนชื่อในเล่ม ) คือ หากเราต้องการปิดบัญชีก่อนกำหนด ธนาคารก็คิดให้เราเฉพาะเงินต้นเท่านั้น ไม่ต้องรวมดอกเบี้ยในปีที่เหลือ เหมือนกับการ รีไฟแนนซ์ แบบเปลี่ยนชื่อทั่วไป
- การจำนำทะเบียน ( ไม่โอนชื่อในเล่ม ) ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % แบบเปลี่ยนชื่อต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % รวมไปกับยอดผ่อนชำระในรายเดือน
3. Refinance รถยนต์ ด้วยตนเองหรือทำผ่านดีลเลอร์ ?
- กรณีที่ท่านยังมีภาระผ่อนชำระกับธนาคารนั้น การ รีไฟแนนซ์ถยนต์ คันเดิม ท่านต้องนำเงินสดส่วนตัวไปปิดบัญชีกับธนาคารที่เดิมหรือที่ใหม่ เนื่องจากธนาคารไม่รับปิดบัญชีให้ลูกค้า โดยลูกค้าจะต้องปิดบัญชีด้วยตนเอง ก่อนจะยื่นเอกสารกับธนาคารได้ ดังนั้นหากท่านไม่สะดวกที่จะนำเงินสดไปปิดบัญชีได้ก่อน ท่านก็สามารถ รีไฟแนนซ์ถยนต์ ผ่านทางดีลเลอร์ของธนาคาร ดีลเลอร์จะให้ท่านยื่นเอกสาร จัดสินเชื่อให้ผ่านก่อน เมื่อผ่านแล้วดีลเลอร์ก็จะไปปิดบัญชีที่ธนาคารเดิมให้ท่านนำเล่มทะเบียนรถไปให้ธนาคารใหม่ภายหลัง โดยดีลเลอร์ก็คิดค่าธรรมเนียมการ จัดไฟแนนซ์รถยนต์ และค่าใช้จ่าย ๆ อื่น ๆ เช่น ค่าปิดบัญชีกับท่าน
- กรณีที่ท่านมีเล่มทะเบียนแล้วท่านสามารถยื่นเรื่อง รีไฟแนนซ์ถยนต์ ได้ด้วยตนเอง หากแต่ท่านก็ต้องเสาะหาข้อมูลด้วยตนเอง ว่าธนาคารใดจะให้เงื่อนไขเรื่องดอกเบี้ยและยอดจัดอย่างไร รวมทั้งที่ใดจะยื่นเรื่องแล้วผ่านง่าย ที่ใดผ่านยาก หากเห็นว่ายุ่งยากท่านสามารถให้ดีลเลอร์จัดการแทนท่านได้
รถยนต์ที่ รีไฟแนนซ์ ได้ ปีไหนถึงปีไหน ?
- ลิสซิ่งส่วนใหญ่รับรถได้ประมาณถึง 16 ปี ( กรณีปีนี้ 2020 รถ 2007 ก็ยังรับ รีไฟแนนซ์ ได้ )
รถยนต์ที่รีไฟแนนซ์ไม่ได้ หรือได้แต่ได้ยอดน้อยมาก
- รถที่อายุเกิน 16 ปี ลิสซิ่ง ไม่รับรีไฟแนนซ์
- รถที่ไม่ใช่รถตลาดจะ รีไฟแนนซ์ ราคาประมาณ 70 % ของราคากลาง
- รถไม่รับ เช่น แท็กซี่ที่ไม่ใช่เขียวเหลือง, บรรทุกบางประเภท ( ต้องใช้ลิสซิ่งเฉพาะทางในการ จัดไฟแนนซ์รถยนต์ กลุ่มประเภทนี้ )
- รถที่เปลี่ยนเครื่องคนละตระกูลกัน เช่น รถโตโยต้า ไปใส่เครื่องคนละรุ่น หรือรถฮอนด้าไปใส่เครื่องโตโยต้า เป็นต้น
รถตลาด และรถที่ไม่ใช่รถตลาด คือ รถอะไรบ้าง ?!!
- รถตลาด ( Market Brand ) คือ รถที่เป็นที่นิยม เช่น โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ เบนซ์ บีเอ็ม นิสสัน มิตซูบิชิ กรณี รีไฟแนนซ์ ยอดจัดจะสูงประมาณ 90 – 100 % ของราคากลาง และผ่อนชำระได้นานถึง 72 งวด
- รถที่ไม่ใช่รถตลาด ( Non Market Brand ) คือ รถที่ไม่ใช่รถในกลุ่มแรก หากแต่บางรุ่น บางยี่ห้อ จึงจัดได้ 90 % รถ Non Market Brand บางรุ่นจัดได้เพียง 70 % บางรุ่น จัดไฟแนนซ์รถยนต์ ไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็นรถใหม่ก็ตาม
ขั้นตอนการยื่น Refinance รถยนต์
เมื่อพิจารณาข้อมูลและเช็กสถานะทางการเงินของตนเองแล้วว่า ยังมีความจำเป็นที่จะต้องทำรีไฟแนนซ์ ก็ถึงเวลาที่จะต้องศึกษาข้อมูลการให้สินเชื่อถ้าจะให้ดีคือควรไปปรึกษากับธนาคารโดยตรง ซึ่งอาจจะเริ่มจากการปรึกษากับธนาคารเดิมที่เราเป็นหนี้อยู่ โดยขั้นตอนของการยื่นขอทำรีไฟแนนซ์ที่ผู้กู้ควรรู้ ได้แก่
1. หากเป็นรถที่ผ่อนชำระหมดแล้วให้ตรวจสอบรถของเราก่อน ว่าสามารถนำมารีไฟแนนซ์ได้หรือไม่ และราคากลางอยู่ที่ประมาณเท่าไร
2. ก่อนที่จะทำการปิดบัญชีสินเชื่อเดิม เพื่อนำรถไปทำการขอสินเชื่อใหม่ หรือรีไฟแนนซ์ จะต้องทำการคำนวณก่อนว่าดอกเบี้ยคงเหลือตามสัญญากู้เดิม เมื่อหักส่วนต่างกับดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นจากการกู้ใหม่ คุ้มค่าหรือไม่ ถ้าคุ้มค่าค่อยทำเรื่องกู้
3. ตรวจสอบความสามารถในการผ่อนชำระ ว่าสามารถผ่อนชำระค่างวดได้ตลอดจนสิ้นสุดหรือไม่ หากมั่นใจว่า สามารถวางแผนในการผ่อนชำระค่างวดได้ ก็สามารถติดต่อกับธนาคารต่าง ๆ ได้ทันที
4. เตรียมเอกสารให้ครบก่อนส่ง สำหรับเอกสารเหล่านี้ส่งเพื่อให้ระบบตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเครดิตบูโรและ เป็นตัวช่วยในการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งการเตรียมเอกสาร ถ้าเตรียมไม่ครบ ก็จะยิ่งเสียเวลามากขึ้น โดยเอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่
1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3.สำเนาเล่มทะเบียนรถ
4. หลักฐานที่มาของรายได้ทั้งหมด
รีไฟแนนซ์รถยนต์ในประเทศไทยที่ไหนได้บ้าง?
หากคุณผ่อนรถอยู่กับธนาคารเดิม แล้วต้องการขอสินเชื่อตัวใหม่เพื่อรีไฟแนนซ์รถยนต์ บางธนาคารทำได้ (ลองติดต่อกับแบงก์เดิมดูก่อน ซึ่งอาจจะขยายเวลาจากการผ่อน 48 เดือน เป็น 84 เดือน แต่หากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยแล้วไม่คุ้ม ก็เปลี่ยนแบงก์ก็ได้) รีไฟแนนซ์รถยนต์กับธนาคารเดิมได้ไหม? สรุปว่า ทำได้กับบางเจ้า แต่ปัจจุบันนี้ก็มีหลายธนาคารที่เปิดรับรีไฟแนนซ์รถยนต์ที่ยังผ่อนไม่หมด ได้แก่
ในท้ายที่สุด การประเมินรายรับรายจ่ายของตัวเองและการวางแผนการเงินอย่างรัดกุม คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่จะช่วยให้ทุกจังหวะชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น และต้องไม่ลืมว่า การไม่มีหนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด
Recent Comments